ศาลปกครองเชียงใหม่พิพากษาให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประกาศกำหนดให้เขตท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษ จากปัญหาพีเอ็ม2.5
เมื่อวันที่ 9 เมษายน ศาลปกครองเชียงใหม่ มีคำพิพากษาให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ใช้อำนาจตามมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดให้เขตท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการประกาศภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด ตามที่ นายภูมิ วชร เจริญผลิตผล ชาวบ้านหมู่ที่ 8 ต.บ้านปง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ต่อศาลปกครองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 ว่า ดำเนินการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าในพื้นที่หลายจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย ทำให้เกิดหมอกควันหนามีปริมาณเกินมาตรฐานที่กฎหมายและระเบียบกำหนดไว้ จนเป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ รวมทั้งนายภูมิได้รับความเดือดร้อนเสียหาย
ศาลให้เหตุผลว่า แม้จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน จะได้กำหนดแผนงานและมาตรการในการบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) เป็นประจำทุกปีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งผู้บริหารระดับสูงให้ความสำคัญเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว แต่ปัญหาฝุ่นละอองขนาดPM2.5ในพื้นที่ยังไม่ลดปริมาณลงกลับมีแนวโน้มความรุนแรงสูงขึ้นและต่อเนื่องยาวนาน โดยจะเห็นได้จากข้อมูลปริมาณฝุ่นละอองในช่วงระหว่างเดือนก.พ.– พ.ค.ของแต่ละจังหวัดดังกล่าวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561-2564 ยังคงเกินมาตรฐานและต่อเนื่องในอัตราที่สูงขึ้นเป็นลำดับทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ตรวจพบฝุ่นละอองPM2.5 เกินกว่ามาตรฐานต่อเนื่องสูงสุดถึง 31 วัน และตรวจพบค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงต่อเนื่องสูงสุดสูงถึง 3-4 เท่า ของระดับดัชนีคุณภาพอากาศที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่มีแนวโน้มร้ายแรงคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้รับทราบถึงความรุนแรงของปัญหาฝุ่นละอองขนาดPM2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและสุขภาพอนามัยของประชาชน คุณภาพสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยในการเดินทางทั้งทางบกและทางอากาศ รวมทั้งกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคเหนือมาโดยตลอด จึงเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่จะต้องคุ้มครองสิทธิของประชาชนที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 และพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 บัญญัติรับรองคุ้มครองไว้ หากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้ประกาศกำหนดให้ท้องที่ทั้ง 4 จังหวัดดังกล่าวเป็นเขตควบคุมมลพิษ ก็จะเกิดกระบวนการในการแก้ไขปัญหาเชิงบูรณาการอย่างเป็นระบบโดยมีการจัดทำแผนงานการดำเนินการ ประชาชนและชุมชนในท้องถิ่นของพื้นที่ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษจากฝุ่นละอองขนาดPM2.5อย่างจริงจัง โดยมีหน่วยงานของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งมีบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหามลพิษจากสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะมาช่วยให้ข้อแนะนำอีกด้วย ซึ่งย่อมจะส่งผลดีทำให้การขับเคลื่อนการดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดPM2.5 ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สัมฤทธิ์ผลเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ได้มากกว่าที่มอบให้แต่ละจังหวัดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายของแต่ละหน่วยงานกำหนดอย่างเช่นที่ดำเนินการอยู่ ซึ่งยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกินPM2.5 ให้บรรลุผลได้
การที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติชี้แจงว่ากรณีปัญหาฝุ่นละอองขนาดPM2.5 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ยังไม่ถึงขนาดที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของประชาชน และยังสามารถแก้ไขโดยวิธีการอื่น ไม่จำเป็นต้องประกาศให้ท้องที่ 4 จังหวัดดังกล่าวเป็นเขตควบคุมมลพิษ นั้น เป็นข้ออ้างที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและไม่สมเหตุสมผล จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย