รายงานสดจากตำบลแม่สามแลบ อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน : แม้ขณะนี้ทางการเมียนมา จะประกาศหยุดยิงภายในประเทศและไม่โจมตีทางอากาศใส่กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง KNU มาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา แต่ในพื้นที่ตามถ้ำและป่าริมแม่น้ำสาละวิน ในฝั่งประเทศเมียนมา ตรงข้ามอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยังมีผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบมาอาศัยอยู่จำนวนมาก เพราะยังหวาดกลัว และเริ่มขอข้ามมารักษาอาการเจ็บป่วยในฝั่งไทยอีกครั้ง
เมื่อวานนี้มีผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง KNU ในฝั่งประเทศเมียนมา ข้ามแม่น้ำสาละวินมายังฝั่งตำบลแม่สามแลบ อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่สามแลบ ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นชาย อายุ 46 ปี มีแผลอักเสบตามข้อมือหลังถูกสะเก็ดระเบิด เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา ก่อนรัฐบาลเมียนมาจะประกาศหยุดยิงและโจมตีทางอากาศ ทีมแพทย์จึงได้ทำการปฐมเบื้องต้นและคัดกรองโรคโควิด- 19 ก่อนส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสบเมย
ทั้งนี้จากข้อมูลพบว่าตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีชาวกะเหรี่ยง KNU เข้ามาขอรับการช่วยเหลือ รักษาอาการบาดเจ็บแล้ว 8 คน แต่ละคนอาการดีขึ้นตามลำดับ ยกเว้นรายล่าสุด ที่ยังต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิด และรอผลตรวจโรคโควิด-19 ขณะที่รายอื่นๆ พบว่าปลอดเชื้อและรอเดินทางกลับประเทศของตัวเอง
ด้านชาวบ้านในพื้นที่ เปิดเผยกับทีมข่าวว่า แม้ขณะนี้สถานการณ์การสู้รบในฝั่งประเทศเมียนมากับกองกำลังกะเหรี่ยง KNU จะสงบลง แต่พลเมืองยังคงได้รับความเดือดร้อน บางรายยังบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดจนแผลอักเสบ เกิดป่วยไข้ บางรายไม่สามารถกลับเข้าที่พักได้ เพราะถูกทำลายเกือบหมด จึงร้องขอให้ทางการไทยช่วยเหลือ โดยเฉพาะการตั้งศูนย์พักพิงช่วยคราวในฝั่งไทย เพราะหากปล่อยไว้จะยิ่งทำให้สถานการณ์ในพื้นที่แย่ลง
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง KNU คลอดลูกและเสียชีวิตระหว่างการหลบหนีภัยจากการสู้รบ และยังมีผู้ป่วยรอขอความช่วยเหลือจากทางการไทยอยู่ริมแม่น้ำสาละวินจำนวนมาก เรื่องนี้ทีมข่าวสอบถามไปยัง พลตรีอำนาจ ศรีมาก ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 4 ผู้บัญชาการกองกำลังนเรศวร ได้ข้อมูลว่า ขณะนี้ทางกองกำลังยังไม่ได้รับรายงาน แต่ได้สั่งการให้กำลังพลที่ลาดตระเวนอยู่ริมแม่น้ำสาละวินสอดส่องดูแล และให้ความช่วยเหลือ โดยเฉพาะผู้บาดเจ็บตามหลักสิทธิมนุษยชนแล้ว และขณะนี้ยังพบว่า ผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบทั้งหมด ข้ามกลับไปยังฝั่งประเทศเมียนมาแล้ว ส่วนการจะอนุญาตให้ประชาชนนำเครื่องอุปโภค-บริโภค และยารักษาโรคเข้าไปบริจาคนั้น ต้องเป็นไปตามกระบวนการที่กองทัพวางไว้ เพราะพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นสีแดง ต้องเฝ้าระวังอันตรายจากเหตุความไม่สงบรวมถึงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อีกด้วย